ขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่นอย่างไรให้ปลอดภัยตลอดเส้นทาง

Bridgestone Tire Clinic | ความรู้ทั่วไปสำหรับผู้ใช้รถยนต์

 

ขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่นอย่างไร ให้ปลอดภัย อุ่นใจตลอดเส้นทาง

 

ขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น อย่างไร ให้ปลอดภัยอุ่นใจตลอดเส้นทาง  

 

วิธีการขับรถตอนฝนตก ฝนฟ้าคะนอง ถนนเปียกลื่น พร้อมรับมือกับภัยที่คาดไม่ถึง

 

สภาพอากาศในยามที่ฝนตกหนักก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการขับขี่รถบนท้องถนน อีกทั้งรอยน้ำมันและของเหลวในเครื่องยนต์ก็อาจไหล และลอยอยู่เหนือน้ำฝนบนพื้นถนน สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดพื้นผิวถนนที่ เป็นอันตรายต่อการขับขี่ได้ เพราะน้ำจะเข้ามาแทรกระหว่างพื้นถนนกับยางรถ ทำให้รถของคุณสูญเสียความสามารถในการยึดเกาะและเกิดการเหินน้ำได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็อย่าเพิ่งตกใจ ให้ตั้งสติ ทำใจให้สบายเข้าไว้ จับพวงมาลัยให้มั่นและเหยียบเบรกเบา ๆ ก็ช่วยให้ผ่านพ้นปัญหานี้ได้ พื้นผิวถนนที่เป็นอันตรายร่วมกับทัศนวิสัยที่ยากจะมองเห็นระหว่างขับขี่ มีส่วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนถนนเปียกกว่าหนึ่งพันครั้งต่อปี แต่โชคดีที่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการเตรียมการเพียงเล็กน้อย พร้อมกับทริคขับรถตอนฝนตกหนักและถนนลื่น ที่จะพาคุณฝ่าฤดูฝนนี้ไปอย่างสบายหายห่วง  

 ขับรถขึ้นเขาแล้วฝนตก

 

สิ่งที่พึงทำก่อนเหยียบคันเร่ง

 

สร้างนิสัยก่อนขับด้วยการตรวจเช็กรถก่อนเดินทางไกล เพียง 2-3 ข้อ เมื่อต้องขับรถตอนฝนตกหนัก

 

มองให้เห็นคนอื่น และให้คนอื่นมองเห็นเรา

 

สิ่งที่จำเป็นในตอนขับรถฝนตกหนัก ก็คือไฟหน้ารถยนต์ ไฟเบรกและใบปัดน้ำฝนที่สะอาดและทำงานเป็นปกติ การเปิดไฟหน้ารถในสภาวะฝนตกนั้นจะช่วยให้รถคันอื่น ๆ สามารถมองเห็นเราได้ง่ายและชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เราควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนที่ทิ้งคราบ เสื่อมสภาพ หรือปัดไม่สะอาดทิ้งเสีย พร้อมทั้งหมั่นเติมน้ำยาที่ปัดน้ำฝนในถังเก็บน้ำปัดน้ำฝนด้วย 

 

ฝนตกหนักล้อรถยนต์เปียกน้ำฝน

 

หมั่นดูแลรักษายางรถยนต์อยู่เสมอ

 

ก่อนออกเดินทางในช่วงฝนตกถนนลื่นเราควรเช็กรถก่อนเดินทางและตรวจสอบความลึกของร่องดอกยางและความดันลมยางให้เหมาะสมเสียก่อน

 

  • ความลึกของร่องดอกยาง

ยางควรมีความลึกของร่องดอกยางไม่ต่ำกว่า 1.6 มม. ซึ่งสามารถวัดได้โดยใช้เกจวัดความลึกของร่องดอกยางสอดเข้าไปในแต่ละร่อง หากความลึกของร่องดอกยางต่ำกว่า 1.6 มม. ก็ถึงเวลาที่จะต้องซื้อยางชุดใหม่ ซึ่งคุณสามารถซื้อยางใหม่ได้กับตัวแทนจำหน่ายยางรถยนต์บริดจสโตนใกล้บ้านคุณ

 

  • การเติมลมยาง

ตามคำแนะนำของผู้ผลิตยางรถยนต์ เราสามารถดูค่าความดันลมยางที่เหมาะสมได้ที่สติกเกอร์ลมยางข้างประตูฝั่งคนขับ หรือวงกบประตู หรือจากสมุดคู่มือประจำรถ โปรดจำไว้ว่าเราควรตรวจสอบสภาพยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งในช่วงที่ล้อเย็นสู่สภาพปกติแล้ว ก่อนตรวจยาง ควรจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลา 3 ชั่วโมง หรือขับรถมาเพียงระยะทางน้อยกว่า 1.6 กม. ด้วยความเร็วปานกลาง

ฝนตกถนนลื่นล้อเปียก

 

  • เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ 

ติดผลิตภัณฑ์กันสาดรถที่หน้าต่าง หรือกระจกรถจะช่วยดักและระบายน้ำฝน ไม่เกาะผิวกระจก ทำให้มองเห็นสภาพภายนอกรถได้ดีขึ้น และอย่าลืมทำความสะอาดกระจกหน้าต่างภายในรถสัปดาห์ละครั้ง

สิ่งที่ต้องทำขณะขับรถในสภาวะฝนตกหนัก

เมื่อผิวถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่อย่างมาก ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องใช้วิธีขับรถที่แตกต่างจากสภาพถนนปกติ

  • ขับช้า ๆ 

ขับรถให้ช้าลง จะช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะสูญเสียความสามารถในการยึดเกาะถนนและเกิดการเหินน้ำได้ เมื่อคุณต้องปรับที่ปัดน้ำฝนเร็วขึ้น 1 ระดับ ก็ให้ลดความเร็วลงคราวละ 10 กม. ต่อชั่วโมง

  • นับ 1 ถึง 3

เว้นระยะให้ห่างจากรถคันข้างหน้าเผื่อกรณีที่จำเป็นต้องเบรกรถกะทันหัน โดยใช้เสาไฟเป็นจุดสังเกต หากเราขับรถผ่านเสาไฟต้นเดียวกับที่รถคันข้างหน้าเพิ่งผ่านไป ก่อนที่เราจะนับได้ถึง 3 แสดงว่าเรากำลังขับรถใกล้คันข้างหน้ามากเกินไป 

ขับรถตอนฝนตกหนักและถนนลื่น

 

  • รู้วิธีควบคุมเมื่อรถลื่นไถล

            อย่าตกใจเมื่อรถกำลังลื่นไถล มองออกไปที่ถนนและจับพวงมาลัยให้มั่น บังคับรถให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ห้ามเหยียบเบรกแรง ๆ แบบกะทันหัน เพื่อให้สามารถควบคุมรถไว้ได้

  • จอดพักข้างทาง

            หากฝนตกหนักมาก หรือรถเลนข้าง ๆ สาดน้ำมาใส่แรงเกินไป ก็ไม่ควรขับไปต่อ เมื่อทัศนวิสัยต่ำจนทำให้คุณไม่สามารถมองเห็นขอบถนน หรือยานพาหนะที่อยู่ข้างหน้าได้ ให้หาที่จอดที่ปลอดภัย โดยให้ห่างจากถนนให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินไว้ แล้วรอจนฝนซาลงก่อน

5 จุดสำคัญของรถยนต์ ต้องตรวจเช็กก่อนออกเดินทางในหน้าฝน

ก่อนออกเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสภาพรถยนต์ของตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะฤดูฝนที่มักจะเจอกับเหตุการณ์ฝนตกหนัก ถนนลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่ง 5 จุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กสภาพก่อนออกเดินทางมีดังต่อไปนี้

5 จุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กรถยนต์ก่อนออกเดินทางไกลในหน้าฝน

 

1.แบตเตอรี่รถยนต์  ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนออกเดินทางทุกครั้งควรจะดูว่า ขั้วแบตและฉนวนสายไฟมีการเชื่อมต่อดีหรือไม่ ทำความสะอาดคราบขี้เกลือบริเวณขั้วแบต และเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ

2.ยางรถยนต์ และช่วงล่างของรถ เป็นอีกหนึ่งข้อที่ขาดไม่ได้ในการตรวจสภาพรถยนต์ คือ การตรวจสอบยางรถยนต์ โดยตรวจดูว่ายางรถมีรอยแตกลายงา ยางนูน ดอกยางหมด ร่องดอกยาง มีความลึกน้อยกว่า 1.6  มิลลิเมตรหรือไม่ หากเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็ควรพิจารณาเปลี่ยนยาง  นอกจากนี้ควรตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช่วงล่างด้วย เช่น ลูกหมาก โช้ครถ เป็นต้น

3. น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และระบบเบรก นับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้ ยิ่งเวลาฝนตก ถนนลื่น การควบคุมรถจะยากกว่าปกติ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรก และเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทางที่ดีควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และอย่าลืมเช็กระบบว่าเบรกว่าผิดปกติหรือไม่

4.เช็กหม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น การขับรถระยะไกล ทำให้เครื่องยนต์สะสมความร้อนปริมาณมาก หากระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อค แนะนำว่าก่อนออกเดินทางควรเช็กระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพัก และหม้อน้ำ รวมไปถึงการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ มอเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย หากคุณพบว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่แน่ใจ แนะนำให้ไปที่ศูนย์บริการค็อกพิทใกล้บ้านท่านเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบ

5.ระบบไฟส่องสว่าง ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ควรใช้งานได้ตามปกติ ส่องสว่างได้ดี เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถในตอนกลางคืน ตรวจสอบไฟรถแล้วก็อย่าลืมเช็กใบปัดน้ำฝนดูด้วยล่ะว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่

นอกจาก 5 จุดสำคัญข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรหลงลืมเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางไกลในฤดูฝน นั่นคืออุปกรณ์ และเครื่องมือต่างที่จำเป็นต้องใช้ยามฉุกเฉิน อาทิ ยางอะไหล่ แม่แรง ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ ที่เติมลมฉุกเฉิน สายพ่วงแบต พกติดรถเอาไว้ให้อุ่นใจ ปลอดภัยตลอดส้นทาง