1. เติมลมยางที่เหมาะสม
แรงดันลมยางส่งผลโดยตรงต่ออายุของยางรถยนต์ การเติมลมยางที่ถูกต้องจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การเติมลมไนโตรเจนหรือลมธรรมดาที่มากไปหรือน้อยไป จะส่งผลให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น ส่งผลถึงประสิทธิภาพในการควบคุมรถรวมทั้งสิ้นเปลืองน้ำมัน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์แนะนำปริมาณลมยางที่เหมาะสมโดยสามารถดูได้ที่ขอบประตูฝั่งคนขับหรือคู่มือประจำรถยนต์ อย่าลืมตรวจสอบความดันลมยาง ในขณะที่ยางมีอุณหภูมิเย็น ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ต้องจอดแล้วอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
2. ตั้งศูนย์ถ่วงล้อได้ระนาบที่ถูกต้อง
ถ้ารถของคุณมีศูนย์ถ่วงล้อที่ผิดเพี้ยนไป จะทำให้ยางสึกหรอไม่เท่ากัน ทำให้ต้องเปลี่ยนยางเร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้นรถยนต์ที่มีศูนย์ถ่วงล้อที่ผิดเพี้ยน ยังบ่งบอกถึงปัญหาด้านอื่นๆ ซึ่งกระทบต่อประสิทธิภาพของยางโดยตรง
3. สลับตำแหน่งยางสม่ำเสมอ
แรงกดต่อยางแต่ละเส้นนั้นไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของรถ ซึ่งนำไปสู่การสึกหรอของยางที่ไม่เท่ากัน การสลับยางอย่างสม่ำเสมอ (แนะนำโดยบริษัทผลิตรถยนต์ที่ทุกๆ 8,000 ถึง 10,000 กิโลเมตร) นำไปสู่การสึกหรอแบบสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้ยางสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
4. ตรวจสอบความสมดุล
ยางและวงล้อที่ไร้สมดุลนำไปสู่อาการสั่นและการสึกหรอไม่เท่ากัน ซึ่งส่งผลให้การเดินทางของคุณขาดความนุ่มนวล และนำไปสู่การเปลี่ยนยางใหม่เร็วขึ้น
5. ความต้านทานต่อการหมุนต่ำ
แรงต้านทานต่อการหมุนมีค่าเท่ากับพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้ยางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแรงต้านทานในการหมุนจึงมีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการประหยัดน้ำมัน ซึ่งการเลือกยางที่มีแรงต้านทานในการหมุนที่ต่ำจะสามารถช่วยคุณได้ เลือกยางประหยัดน้ำมัน ในกลุ่มยาง ECOPIA ช่วยลดพลังงานที่สูญเสียไปโดยเพิ่มระยะทางได้ถึง 11 กม. ต่อน้ำมันหนึ่งถัง
*ทดสอบโดยสถาบัน TUV Rheinland (ประเทศมาเลเซีย) ด้วยวิธี Chassis Dynamo Test (UNECE-R38 UNECE-R101)
รถยนต์ที่ใช้ โตโยต้า แคมรี่ รุ่น 2.0 G ขนาดยาง 215/60R16
แรงดันลมยาง : 230 kpa (เทียบเท่า 33ps)
ผลการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในพื้นที่ในเมือง
ผลของการทดสอบอาจเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการดูแลยางรถยนต์, สภาพรถ, วิธีการขับขี่ และข้อจำกัดในเงื่อนไขอื่นๆ
หากสนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีดูแลยางของคุณหรือเคล็ดลับที่มีประโยชน์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คุยเรื่องยาง และ คลินิกยาง